Valve Corporation เจ้าของ Steam แพลตฟอร์มจัดจำหน่ายเกมพีซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องมูลค่า 656 ล้านปอนด์ (ประมาณ 28,000 ล้านบาท) โดยถูกกล่าวหาว่าใช้ความเป็นผู้นำในตลาดเอาเปรียบผู้เล่นชาวอังกฤษกว่า 14 ล้านคน ผ่านการบังคับให้ผู้จัดจำหน่ายเกมลงนามในข้อตกลงความเท่าเทียมด้านราคา ป้องกันไม่ให้เกมถูกขายในราคาที่ต่ำกว่าบนแพลตฟอร์มคู่แข่ง ทำให้ Steam สามารถเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 30% ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงเกินจริงในการซื้อเกมและเนื้อหาเพิ่มเติม
คดีนี้ถูกยื่นฟ้องโดย Vicki Shotbolt นักรณรงค์ด้านสิทธิดิจิทัล ซึ่งกล่าวหาว่า Valve ละเมิดกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรมานานกว่า 6 ปี เธอต้องการหยุดการกระทำที่ผิดกฎหมายนี้และช่วยให้ผู้บริโภคได้รับเงินคืน ทั้งนี้ Steam มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 ด้วยรายได้กว่า 9 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) จากเกมที่ขายได้ 580 ล้านชุดและเกมใหม่ 14,000 เกม แต่ตลาดกลับมีการกระจุกตัวสูง โดย 10 อันดับเกมขายดีคิดเป็น 61% และ 100 อันดับแรกคิดเป็น 91% ของยอดขายทั้งหมด
คดีนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทกฎหมาย Milberg London LLP ซึ่งมองว่ากฎหมายการแข่งขันทางการค้ามีไว้เพื่อปกป้องผู้บริโภคและทำให้ตลาดทำงานอย่างเหมาะสม เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น การดำเนินการทางกฎหมายแบบกลุ่มเช่นนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคมีเสียงและสามารถตรวจสอบบริษัทใหญ่อย่าง Valve ได้ นี่เป็นหนึ่งในคดีทางกฎหมายล่าสุดต่อยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี ซึ่งก่อนหน้านี้มีการยื่นฟ้องเรียกค่าชดเชยจากเฟซบุ๊ก กูเกิล และโซนี่มาแล้วเช่นกัน
ผมต้องบอกว่าวงการเกมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การสร้างเกมให้ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาล จากเกมหลายล้านเกมในตลาด มีเพียง 100 อันดับแรกที่ครองยอดขายส่วนใหญ่ถึง 91% และใน 100 เกมนั้น ก็มีแค่ 10 เกมเท่านั้นที่ขายดีจริง ๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสร้างเกมแล้วประสบความสำเร็จได้ง่าย ๆ
นอกจากความท้าทายในการแข่งขันแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคด้วย ผู้ขายไม่สามารถตั้งราคาเกมแพงเกินไปเพียงเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น เพราะจะเป็นการเอาเปรียบผู้เล่น แต่ในขณะเดียวกัน การพัฒนาเกมก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างนักพัฒนา ค่าลิขสิทธิ์เครื่องมือ ค่าการตลาด ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากในการสร้างสมดุลระหว่างราคาที่เป็นธรรมและผลกำไรที่เพียงพอต่อความอยู่รอด
ดังนั้น ผมจึงมองว่าการกล่าวหา Steam ว่ากีดกันการแข่งขันและเอาเปรียบผู้บริโภคเพียงฝ่ายเดียวอาจไม่ยุติธรรมนัก เพราะแพลตฟอร์มอย่าง Steam ก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนวงการเกมด้วยเช่นกัน ทั้งการสร้างตลาดกลางที่เข้าถึงผู้เล่นได้ง่าย การจัดโปรโมชั่นที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย และการพัฒนาระบบต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีต้นทุนในการดำเนินการ การคิดค่าคอมมิชชั่นจึงเป็นวิธีหนึ่งในการแบ่งเบาภาระดังกล่าว แม้อาจสูงไปบ้างเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหาเสียทีเดียว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวในฐานะหนึ่งในผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเกมครับ