ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เยอรมนีเคยเป็นต้นแบบของประเทศที่ประชาชนมีความสุข แม้จะทำงานน้อยชั่วโมง แต่เศรษฐกิจกลับเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ความสุขเช่นนั้นดูจะเลือนหายไปแล้วในวันนี้ เมื่อสภาพเศรษฐกิจเยอรมนีได้ถดถอยลงอย่างหนักจากวิกฤตการณ์หลายด้าน กดดันให้รัฐบาลต้องหาทางกระตุ้นให้ประชาชนกลับมาขยันทำงานหนักเหมือนในอดีต เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ให้ได้
อดีตที่รุ่งโรจน์
ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ในช่วงปี 2005-2020 เศรษฐกิจเยอรมนีเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าในอดีตถึง 3 เท่า ทั้งๆ ที่ประชากรใช้เวลาทำงานน้อยลง นั่นคือทำงานแบบสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบ แต่กลับได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้ความพึงพอใจในชีวิตของชาวเยอรมันเพิ่มขึ้นจาก 6.7 คะแนนในปี 2004 เป็น 7.5 คะแนนในปี 2020 จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเยอรมัน และเคยทำให้เยอรมนีติดอันดับ 17 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกเมื่อ 5 ปีก่อน
ปัจจุบันอันตรายใกล้ตัว
ทว่าความสุขของชาวเยอรมันกลับดิ่งลงอย่างรวดเร็วจากวิกฤตหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดโควิด-19 สงครามในยูเครน ภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง และราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น IMF คาดการณ์ว่าในปี 2022 เศรษฐกิจเยอรมนีอาจเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจแย่ที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ และน่าจะยังไม่ฟื้นตัวในปี 2024
ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้นักการเมืองอย่างนายคริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ต้องประกาศมาตรการจูงใจทางภาษี เพื่อให้คนเยอรมันกลับมาทุ่มเทการทำงานเหมือนเดิม โดยเขาชี้ว่า
ประชากรในประเทศอื่นๆ อย่างฝรั่งเศสและอิตาลี ทำงานกันหนักกว่าชาวเยอรมันมากนัก
คริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ ยังพบว่าปี 2022 คนเยอรมันมีจำนวนวันลาป่วยสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 19.4 วัน และผลสำรวจบ่งชี้ว่า 1 ใน 4 ของผู้ลาป่วยครั้งล่าสุด ยอมรับว่าโกหกเรื่องการเจ็บป่วยของตน นี่แสดงให้เห็นว่ายุคที่คนเยอรมันทำงานน้อยแต่ผลิตภาพสูงนั้นได้จบลงแล้ว
ความยากลำบากในช่วงเศรษฐกิจซบเซานี้ส่งผลให้เยอรมนีร่วงมาอยู่ในอันดับที่ 24 จากรายงานความสุขโลกฉบับล่าสุด ซึ่งจัดทำโดยทีมนักวิชาการนานาชาติ และยังก่อให้เกิดความไม่พอใจทางการเมืองอย่างสูงต่อรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ โดยมีประชาชนมากถึง 61% ที่รู้สึกว่าสถานการณ์ประเทศแย่ลงกว่าในยุคของแมร์เคิล และ 83% มองว่านายกฯ โชลซ์มีส่วนต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
บทสรุป
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของประเทศพัฒนาแล้วอย่างเยอรมนี ที่เคยชินกับการทำงานไม่มากชั่วโมงและใช้ชีวิตแบบสบายๆ เป็นเวลานาน การที่ต้องหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบขยันขันแข็งและอดทนทำงานหนักอีกครั้ง จึงเป็นความท้าทายทางจิตใจอย่างยิ่ง เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าประชากรเยอรมันจะกลับมาเป็นคนขยันขันแข็งเหมือนในอดีตได้หรือไม่ และพวกเขาจะสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้ได้มากน้อยเพียงใด
ปิดท้าย
นี่คือเรื่องราวของประเทศผู้ผลิตรถยนต์หรูและเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมชั้นแนวหน้าของโลก ที่วันนี้กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ในยุคสมัยที่สงครามกำลังลุกลามและประชาชนต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพียงเพื่อดำรงชีวิตในแบบเดิมๆ
ที่จริงแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเยอรมนีเพียงประเทศเดียว แต่เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย แต่น่าแปลกที่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับดูเหมือนไม่เชื่อมั่นในคุณค่าของการทำงานหนักเพื่อพัฒนาประเทศ ชุมชน และเศรษฐกิจท้องถิ่น หลายคนมักชอบใช้ชีวิตแบบสบายๆ อยากได้เงินเยอะๆ แต่กลับไม่อยากทำงานเพิ่มเติม
อ้างอิง
Alipour, N. (2024, Auguest 21). German trend for working less is no longer paying off. The Times. https://www.thetimes.com/world/europe/article/german-trend-for-working-less-is-no-longer-paying-off-09kpmz0qn