Wannabe Bora ถ่ายทอดประสบการณ์ท่องเที่ยวครั้งแรกในตลาดวันอาทิตย์ที่เชียงใหม่ เธอประทับใจบรรยากาศของตลาด มีสินค้าน่ารักให้เลือกซื้อมากมาย โดยเฉพาะกระเป๋าหวายที่ราคาไม่แพง ทำให้เธออยากซื้อหลายๆ ใบ
Bora บรรยายบรรยากาศของตลาดวันอาทิตย์ที่เชียงใหม่ว่าคล้ายกับถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ แต่ราคาถูกกว่า เธอชอบสังเกตรายละเอียดต่างๆ ในตลาด และพบว่ามีของน่ารักมากมาย โดยเฉพาะในย่านที่เน้นสินค้ามากกว่าอาหาร นอกจากนี้ เธอยังแนะนำให้ลองข้าวโพดและส้มตำข้าวโพดซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของเชียงใหม่อีกด้วย
เธอตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ ที่เห็นในตลาดวันอาทิตย์ เธอเปรียบเทียบร้านเครื่องสำอาง Boots กับ Olive Young ในเกาหลี โดยชื่นชอบการออกแบบร้านโดยใช้ไม้มาเป็นองค์ประกอบสำคัญ
เธอชอบร่มสวยๆ แต่คิดว่าคงพกพายาก เธอพบกระเป๋าหวายดีไซน์สวยไม่ซ้ำใครราคาไม่แพง จึงอยากซื้ออีกเก็บไว้หลายๆ สี นอกจากนี้ ก็ยังประทับใจที่ได้เห็นวัดต่างๆ ตามท้องถนน
เธอตัดสินใจซื้อกระเป๋าสีม่วงสองใบโดยไม่ต่อราคา เพราะราคาถูกอยู่แล้ว เธอบอกว่าคน ENFP มักซื้อของโดยไม่คิดล่วงหน้า จนลืมไปว่าเดี๋ยวต้องถือกระเป๋าหนักๆที่เต็มไปด้วยของเยอะแยะเดินต่อ เธอแนะนำสินค้าต่างๆ เช่น สร้อยคอจากกระป๋องรีไซเคิล ซึ่งเป็นของลิมิเต็ด และคิดว่าเครื่องเงินของที่นี่เหมาะกับผู้หญิงอย่างเธอมากกว่า
Bora ยังคงเดินสำรวจตลาดวันอาทิตย์อย่างสนุกสนาน เธอเปรียบเทียบราคาสินค้ากับเงินวอน พบว่าของถูกมาก สามารถพักที่นี่ได้เป็นเดือนๆ เธอชอบบรรยากาศ อาหาร เครื่องดื่ม และของกินต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะน้ำส้มสดที่มีเอกลักษณ์
เธอเข้าไปดูส่วนของตลาดในบริเวณวัด และก็รู้สึกเสียดายที่ไม่มีอะไรให้ซื้อเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารและเสื้อผ้าที่เคยเห็นในกรุงเทพฯแล้ว อย่างไรก็ตาม เธอยังชอบเครื่องประดับ อยากได้กระเป๋าที่ประดับด้วยหยกสวยๆ เอาไว้พกไปไหนมาไหนได้ แม้ว่าอาจใส่ยากหน่อยในเกาหลี และเธอก็เล่าว่า เมื่อก่อนเคยซื้อแต่ของถูก แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว
จากสาวนักชอปขาปั่น กลายเป็นนักชอปมือโปรไปแล้ว เธอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร โดยเฉพาะเครื่องประดับหิน เธอทดลองสร้อยและกิ๊บผมแบบไทยที่เรียกว่า “ปิ่นปักผม” เมื่อซื้อกิ๊บแล้ว จะมีบริการทำผมให้ฟรี แม้จะรู้สึกแน่นหน่อย แต่เธอก็ชอบผลลัพธ์ที่ออกมา
Wannabe Bora ตื่นเต้นไม่หยุดกับตลาดวันอาทิตย์ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เธออยากสำรวจทุกอย่างในวันนี้ให้หมด เพราะตลาดนี้เปิดแค่วันอาทิตย์วันเดียวเท่านั้น
Bora เริ่มต้นด้วยการลองทุเรียนเป็นครั้งแรก เธอชอบกลิ่นหอมหวานคล้ายมะม่วง แต่ก็รู้สึกแปลกๆ กับรสชาติ หลังจากทานทุเรียนเธอเริ่มรู้สึกอิ่ม แต่ก็ไม่วายอยากกินอย่างอื่นต่อ
ที่ตลาดส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นหมูสะเต๊ะและน้ำผลไม้ ไม่ค่อยมีอาหารหลากหลายนัก เธอเลยชวน Kyungsik ไปตลาดกลางคืนใกล้ที่พัก โดยเจอโซนขายอาหารระหว่างทาง ชื่อว่า “Rice Field” ซึ่งมีอาหารให้เลือกมากมาย
Wannabe Bora ตื่นเต้นเป็นพิเศษกับต้มยำกุ้ง เธอพูดว่าตอนนี้มีความสุขกว่าเดิม เพราะมีทั้งอาหารไทยที่เธอรักและอาหารนานาชาติอย่างเคซาดิญ่า (Quesadilla) เธอเลยให้ Kyungsik รอ ส่วนตัวเธอจะไปสั่งอาหารมาให้ โดยซี่โครงหมูและของทอดน่าอร่อยมาก ในที่สุด เธอก็ยอมรับว่าจริงๆ แล้วมาที่นี่เพื่อกินอาหารนั่นเอง เธอชอบร้านนี้มากเพราะมีของกินเพียบ
Bora เดินสำรวจร้านอาหารต่างๆ ในตลาดกลางคืนของเชียงใหม่ เธอพบขนมไทยชนิดหนึ่งที่คล้าย Jeonbyeong หรือบิสกิตไข่ของเกาหลี ซึ่งก็คือเครปสไตล์ไทยที่มันม้วนๆ กรอบๆ นั่นเอง เธอซื้อมา 5 ชิ้นในราคาเพียง 40 บาท (1,500 วอน) ถือว่าถูกมาก
จากนั้นเธอไปซื้ออาหารคาวมาให้ Kyungsik โดยสั่งก๋วยเตี๋ยวไก่และอาหารขึ้นชื่อของเชียงใหม่ที่เรียกว่า “ข้าวซอย” ที่ราคาเพียง 60 บาท (2,200 วอน) เธอชอบใส่ผักชีเยอะๆ เพราะชอบรสชาติและกลิ่นหอม รวมถึงของเผ็ดต่างๆ เนื่องจากเป็นคนชอบอาหารรสจัด
นอกจากนี้ Bora ยังหาซื้อทอดมันปลามาลองด้วย ซึ่งราคาเพียง 40 บาท (1,600 วอน) แต่ได้ปริมาณพอดีคำ เธอชื่นชมว่าผักชีเข้ากันดีกับอาหารทอด ซุป และอาหารมัน
สุดท้าย Wannabe Bora บอกว่าเชียงใหม่สร้างความประทับใจให้เธอด้วยเสน่ห์ที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ