เรื่องราวของ “หลิน” บัณฑิตสาวจีนที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้วยทุนเต็มจำนวนจาก Yale University หรือ มหาวิทยาลัยเยล หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในสหรัฐอเมริกา กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อเธอประสบปัญหาในการหางานทำหลังกลับสู่ประเทศจีน ทั้งๆที่มีวุฒิการศึกษาสูงจากสถาบันชั้นนำ
กรณีของหลินจุดประเด็นให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความไม่สอดคล้องระหว่างความคาดหวังของบัณฑิตจบใหม่ กับความต้องการที่แท้จริงของตลาดแรงงาน ทำให้เกิดข้อกังวลว่าการศึกษาต่อต่างประเทศอาจไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จในอาชีพเสมอไป เรามาลองไล่เรียงเรื่องราวของเธอ พร้อมฟังเสียงสะท้อนจากผู้คนในแวดวงต่างๆ เพื่อตีแผ่มายาคติและมองหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับคนรุ่นใหม่กันครับ
หลินเป็นบัณฑิตสาวชาวจีนที่เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวรรณคดี จาก Yale University ด้วยทุนการศึกษาเต็มจำนวน เธอมีความสามารถด้านภาษาอยู่ในระดับดีมาก สามารถสื่อสารได้ถึง 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาจีน ญี่ปุ่น และอังกฤษ นอกจากนี้เธอยังเคยมีประสบการณ์การฝึกงานที่งาน Google Developers Conference และสถานทูตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินกลับไปหางานทำที่ประเทศบ้านเกิด เธอกลับพบกับความยากลำบากอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เธอส่งใบสมัครไปแล้วกว่า 800 บริษัทในช่วงระยะเวลา 5 เดือน แต่กลับได้รับการตอบกลับมาเพียงไม่กี่ฉบับเท่านั้น ส่วนใหญ่มาจากบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทที่มีผู้บริหารชาวจีน
ตอนไปสัมภาษณ์งาน หลินก็พบปัญหาอีกมากมาย เช่น ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่สามารถอธิบายศัพท์เฉพาะทางเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการ หรือแม้กระทั่งถูกมองว่ามีวุฒิการศึกษาที่สูงเกินไปสำหรับตำแหน่งงาน
ถึงแม้หลินจะพยายามหางานอย่างหนักแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้รับข้อเสนองานใดๆเลย ต่อมาเธอจึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ประสบปัญหานี้ แต่บัณฑิตจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศจำนวนมากต่างก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน
สาเหตุหลักมาจากปัญหาวีซ่า รัฐบาลสหรัฐฯมีกฎระเบียบว่าบัณฑิตสาขามนุษยศาสตร์ที่เรียนจบจากอเมริกา จะมีเวลาอยู่ต่อเพื่อหางานได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ถ้าหางานไม่ได้ก็ต้องเดินทางกลับประเทศ หลินเกือบจะได้งานในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธไปเพราะติดปัญหาเรื่องวีซ่านี่เอง
หลังจากกลับไปประเทศจีน หลินก็เริ่มออกหางานอีกครั้ง โดยส่งใบสมัครไปตามบริษัทต่างๆแบบไม่เลือก แต่ก็ได้รับการเรียกสัมภาษณ์กลับมาน้อยมาก และเธอพบว่าเทคนิคการสัมภาษณ์งานที่เรียนมาจากต่างประเทศไม่สามารถใช้ได้ผลกับบริษัทจีน เช่น ครั้งหนึ่งเธอแสดงท่าทีผ่อนคลาย เปิดเผย และมั่นใจในระหว่างการสัมภาษณ์ สุดท้ายกลับโดน HR มองว่า “สบายใจเกินไป”
หลินแทบจะหมดหวังกับการหางานแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้รับข้อเสนอให้ทำงานเป็นนักการตลาดออนไลน์ให้กับร้านดูดวงท่องทาโร่ ด้วยเงินเดือนเพียง 3,000 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 15,000 บาท พร้อมที่พักและอาหาร แต่หลังจากทำงานได้สักพัก เธอก็ตัดสินใจกลับไปอเมริกาอีกครั้ง และผันตัวเองมาเป็นบล็อกเกอร์แทน เพื่อหลีกหนีจากชีวิตการทำงานประจำ
เมื่อเราไปดูความคิดเห็นใน Social Media ที่พูดถึงกระทู้ของเธอ กลับพบว่า HR หลายคนมองประเด็นนี้ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือพวกเขาไม่คิดจะรับหลินเข้าทำงาน
ประการแรก พวกเขามองว่าวุฒิการศึกษาของหลินสูงเกินไป บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่งมองเห็นประวัติที่จบจาก Yale University ระดับปริญญาโทด้วยทุนเต็มจำนวน ก็รู้สึกว่า “คนนี้คงมาหางานชั่วคราวระหว่างไปอื่น คงอยู่กับเราไม่นาน บริษัทเราคงรับเธอไม่ไหว”
ประการที่สอง HR มองว่าหลินมีแนวโน้มที่จะลาออกสูง เพราะบริษัทต้องใช้เวลาในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ ถ้าพนักงานเก่งๆไม่อยู่กับบริษัทนาน ไม่คืนกำไรให้บริษัท และถ้าลาออกไปง่ายๆ บริษัทก็ไม่อยากเสี่ยงรับเข้ามา
ประการสุดท้าย บุคลิกของหลินถูกมองว่า “อิสระ” และ “เป็นตัวของตัวเองสูง” เกินไป ในขณะที่บริษัทส่วนใหญ่ต้องการพนักงานที่ทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ดี พนักงานที่มีความคิดอิสระมากไป อาจกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ในสายตาของผู้บริหาร
เราคงบอกไม่ได้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้ของหลินเป็นเรื่องที่ “ผิด” แต่มันอาจไม่ตรงกับสิ่งที่บริษัทกำลังต้องการ หรือพูดอีกอย่างคือ “จิ๊กซอว์มันต่อไม่ลงตัว”
นอกจากความคิดเห็นของ HR แล้ว ผู้คนทั่วไปก็เห็นว่า หลินควรตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัย กับ สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน
การศึกษาและชื่อเสียงของสถาบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ได้งาน ในความเป็นจริง บริษัทส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานมากกว่า รวมถึงความสามารถในการปรับตัว ไหวพริบ ความฉลาดทางอารมณ์ และคุณสมบัติอื่นๆที่บริษัทต้องการ
สรุปแล้วบัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังในต่างประเทศ มักประสบปัญหาในการหางานทำเมื่อกลับเข้าไปในประเทศจีน แม้จะมีวุฒิการศึกษาสูงจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่กลับไม่มีความได้เปรียบในการสมัครงาน กลับกลายเป็นข้อเสียด้วยซ้ำ
สาเหตุหลักๆที่ทำให้บัณฑิตเหล่านี้หางานยากในจีน ได้แก่:
- HR มองว่าคุณสมบัติของผู้สมัครไม่ตรงกับความต้องการ เช่น วุฒิการศึกษาสูงเกินไป, ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการทำงานในประเทศ, ไม่มีความมั่นคง (อาจลาออกเร็ว) เป็นต้น
- ผู้สมัครเองก็คาดหวังสูงเกินไปกับตำแหน่งและค่าตอบแทน เพราะคิดว่าจบจากมหาวิทยาลัยดังในต่างประเทศแล้วต้องได้งานดีๆ
- นายจ้างไม่ค่อยเข้าใจระบบการศึกษาในต่างประเทศ ทำให้เกิดอคติในการพิจารณาคุณสมบัติ เช่น ระยะเวลาเรียนปริญญาโทสั้น, ไม่รู้จักมหาวิทยาลัยบางแห่ง เป็นต้น
- HR มักให้ความสำคัญกับคุณสมบัติอื่นๆมากกว่าวุฒิการศึกษา เช่น ทักษะในการทำงานเป็นทีม, ประสบการณ์ฝึกงาน, ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ
โดยสรุปแล้ว เรื่องราวของหลินสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงตัวระหว่างความคาดหวังของบัณฑิตจบใหม่ กับความเป็นจริงของตลาดแรงงาน หลินมองว่าวุฒิปริญญาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ จะเป็นใบเบิกทางสู่หน้าที่การงานที่สูงส่ง แต่สิ่งที่เธอพบกลับตรงกันข้าม นายจ้างมองว่าคุณสมบัติของเธอไม่ตรงกับความต้องการ และมีความเสี่ยงสูงที่จะลาออก นี่คือสิ่งที่คนหางานหลายคนมักมองข้าม
สำหรับคนไทยที่คิดจะไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมาทำงานในไทย สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักวางแผนอนาคตที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับความคาดหวังให้สมดุล และพัฒนาทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่มุ่งเน้นวุฒิการศึกษาอย่างเดียว หากทำได้เช่นนี้ โอกาสประสบความสำเร็จในอาชีพการงานก็จะมากยิ่งขึ้น
อ้างอิง:
黄晶晶. (2024, July 5). 耶鲁全奖硕士求职, 输在「海归」身份上. QQ News. https://new.qq.com/rain/a/20240705A013L400