เรื่องราวของนายแซ่เจา หมอหมู่บ้านชาวจีนวัย 82 ปี เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาอายุเพียง 10 ขวบ ด้วยการติดตามพ่อซึ่งเป็นหมอพื้นบ้านออกไปเยียวยารักษาผู้คน การเรียนรู้วิชาแพทย์แผนโบราณจากพ่อผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้ศึกษาจากแพทย์อาสา ทำให้เขากลายเป็นหมอประจำหมู่บ้านที่เป็นที่ไว้วางใจของชาวบ้านในที่สุด
ในช่วงปี 1990 สำนักงานหมู่บ้านได้เชิญนายแซ่เจาให้มาทำหน้าที่หมอในคลินิกของหมู่บ้าน เพื่อตรวจรักษาและฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้แก่ชาวบ้าน ต่อมา วันที่ 13 ตุลาคม 1992 ก็นับเป็นก้าวสำคัญในชีวิต เมื่อเขาได้รับใบอนุญาตให้เปิดคลินิกยาสมุนไพรส่วนตัวจากกรมอนามัยเมืองจินผิง ก่อนจะได้รับการรับรองเป็นหมอแผนจีนประจำชนบทในปีถัดมา อย่างไรก็ตาม ใบอนุญาตและการรับรองเหล่านั้น มีขอบเขตจำกัดและเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งนายแซ่เจาอาจมิได้ดำเนินการอย่างครบถ้วนในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม หลังปี 1999 ด้วยปัญหาทางการเงิน นายแซ่เจาจำใจต้องลาออกจากการเป็นหมอประจำคลินิกของหมู่บ้าน เพื่อกลับไปเป็นเกษตรกร แต่ด้วยความผูกพันที่มีต่อชาวบ้านซึ่งให้ความไว้วางใจและพึ่งพาเขามานาน ก็ทำให้เขายังคงให้การดูแลรักษาพวกเขาอยู่เสมอ จวบจนในปี 2011 ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจย้ายลงมาอยู่ในเมือง ซึ่งน่าจะเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งความสะดวกในการใช้ชีวิต การศึกษาของลูกหลาน และโอกาสในการประกอบอาชีพ
กระทั่งปี 2019 นายแซ่เจาได้ถูกร้องเรียนต่อกรมสาธารณสุขว่าทำการรักษาที่บ้านทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้เขาหยุดให้บริการรักษาพยาบาลทันที มิเช่นนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย แต่ด้วยจิตสำนึกของความเป็นหมอ เขาจึงยังคงรักษาให้ชาวบ้านเป็นระยะ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เมื่อนายหลี่ ญาติห่างๆ ได้มาขอให้เขาช่วยรักษาฝีที่ใบหน้าและอาการปวดฟัน นายแซ่เจาจึงฉีดยาและถอนฟันให้ แต่เพียง 6 วันให้หลัง นายหลี่ก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
นี่จึงเป็นอีกครั้งที่นายแซ่เจาถูกกล่าวหาว่าการรักษาของเขาทำให้คนไข้เสียชีวิต ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าเรื่องที่ถูกร้องเรียนเมื่อปีก่อนมาก และนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีในที่สุด ทางการได้ออกหมายจับตัวเขา แต่นายแซ่เจาพยายามหลบหนีการจับกุมด้วยการไปพักที่บ้านเก่าบนภูเขาชั่วระยะหนึ่ง ก่อนจะถูกจับกุมตัวได้ในเวลาต่อมา
ในการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2021 ศาลชั้นต้นตัดสินว่านายแซ่เจามีความผิดฐานประกอบวิชาชีพโดยผิดกฎหมายจนทำให้คนไข้เสียชีวิต จึงลงโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 10,000 หยวน พร้อมทั้งให้จ่ายค่าเสียหายอีก 88,000 หยวนแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้ยืนยันตามคำตัดสินนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในปี 2024 คดีของนายแซ่เจากลับมาได้รับการพิจารณาใหม่อีกครั้ง เมื่ออัยการพบพยานหลักฐานใหม่ที่ชี้ว่าคำตัดสินก่อนหน้านี้อาจมีข้อผิดพลาด ผลการไต่สวนของศูนย์นิติเวชมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์คุนหมิงระบุว่า แท้จริงแล้วทั้งนายแซ่เจาและโรงพยาบาลที่ผู้ตายเคยไปรักษาตัวต่อนั้น ต่างก็มีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิต โดยความผิดพลาดหลักอยู่ที่ฝั่งโรงพยาบาล ศาลกลางหงเหอจึงตัดสินใหม่ว่า การกระทำของนายแซ่เจาไม่ใช่สาเหตุหลักของการเสียชีวิต หากแต่เป็นการประกอบวิชาชีพผิดกฎหมายที่มีเพียงพฤติการณ์ร้ายแรง โทษจำคุกจึงถูกลดจาก 10 ปี เหลือเพียง 2 ปี 11 เดือน
และแล้ววันที่ 13 มิถุนายน 2024 เมื่อพ้นโทษจำคุกครบกำหนด นายแซ่เจาวัย 82 ปี ก็ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของลูกหลานและชาวบ้านที่เคยได้รับการรักษา ทว่าครอบครัวของเขาได้ขอร้องไม่ให้ผู้คนมาขอรับการรักษาอีกต่อไป เพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
การกระทำของนายแซ่เจาแม้จะเกิดจากความจำใจและต้องการช่วยเหลือชาวบ้านด้วยเจตนาดี แต่ในแง่ของกฎหมายแล้ว การรักษาโดยผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ย่อมมีความเสี่ยงสูงต่อความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้ แม้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์บีบคั้นที่บังคับให้ชาวชนบทต้องพึ่งพาหมอที่ไม่มีใบอนุญาตนั้น ก็ชี้ให้เห็นช่องว่างของระบบบริการสุขภาพที่ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งแก้ไข ชีวิตผู้คนไม่ควรต้องถูกจำกัดทางเลือกอยู่ระหว่างความเสี่ยงกับความขาดแคลน
บทเรียนจากชะตากรรมของนายแซ่เจาคือการเตือนให้สังคมต้องหันมาพิจารณาปัญหาอย่างรอบด้าน มิใช่ตัดสินความผิดถูกเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องร่วมกันสร้างทางออกอย่างเป็นธรรมและเป็นระบบ เพื่อทุกคนจะได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและปลอดภัยอย่างแท้จริง
เรื่องราวของนายแซ่เจา แม้จะเกิดขึ้นในบริบทของสังคมจีน แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจและให้ข้อคิดกับคนไทยหลายประการครับ
- ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล ซึ่งเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย การสร้างระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียมและมีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ
- บทบาทของหมอพื้นบ้านหรือผู้ให้บริการสุขภาพทางเลือกในชุมชน ที่แม้จะมีข้อจำกัดทางกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นที่พึ่งพาของผู้คนในยามขาดแคลน จึงจำเป็นต้องหาทางบูรณาการเข้ากับระบบสาธารณสุขหลักอย่างเหมาะสม
- ความขัดแย้งระหว่างกฎหมายกับความเป็นจริงในสังคม ที่บางครั้งอาจไม่สอดคล้องกัน การบังคับใช้กฎหมายจึงต้องคำนึงถึงบริบทและผลกระทบต่อชีวิตผู้คนด้วย ไม่ใช่แค่ลงโทษตามตัวบทอย่างเคร่งครัด
- พลังของความเห็นอกเห็นใจและความเอื้ออาทรในชุมชน เห็นได้จากชาวบ้านที่ยังคงซาบซึ้งและเคารพในตัวนายแซ่เจา แม้เขาจะต้องโทษจำคุก สังคมที่ดีจะไม่ทอดทิ้งคนที่ทุ่มเทเพื่อส่วนรวมแบบนี้
- ความจำเป็นในการปฏิรูประบบอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงโครงสร้าง กลไก และทัศนคติของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และสร้างสังคมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง
นี่เป็นเพียงมุมมองเบื้องต้นที่ชวนให้เราขบคิดต่อครับ หากมองลึกลงไปในรายละเอียด เชื่อว่าจะยังมีอีกหลายมิติที่สามารถเชื่อมโยงกับบริบทสังคมไทยได้อีกมากมาย
หวังอวี๋เฉิน. (2023, 14 มิถุนายน). 村民看病拔牙6天后死亡 老村医非法行医获刑背后:对沾亲病人难说不,家人劝他”不要看了”. ศูนย์ข่าว. https://www.sohu.com/a/788384169_116237