เรื่องราวของน้องนักเรียนสาวที่ถูกสังคมออนไลน์ในจีนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเพราะใส่กระโปรงสั้นไปสอบเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสื่อบางส่วนที่มุ่งเน้นเรื่องเร้าอารมณ์เพื่อเรียกยอดวิว โดยละเลยประเด็นสำคัญที่ควรนำเสนอ กล่าวคือ ในตอนแรกน้องเขาไม่สามารถเข้าห้องสอบได้เนื่องจากรองเท้าที่ใส่มีโลหะไปติดเครื่องตรวจจับ และโชคดีที่ได้เจ้าหน้าที่ตำรวจใจดีช่วยพาไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่จนทันเข้าสอบ
แต่สื่อกลับเลือกที่จะไม่เน้นย้ำเรื่องราวดี ๆ ของการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในวันนั้น แต่กลับนำเสนอประเด็นเรื่องความยาวกระโปรงและหน้าตาของน้องนักเรียน ซึ่งไม่ใช่ใจความสำคัญเลย การเลือกใช้มุมมองแบบนี้แสดงให้เห็นว่าสื่อเหล่านั้นตระหนักดีอยู่แล้วว่ากำลังบิดเบือนความสนใจ แต่ก็ยังทำเพื่อสร้างกระแสและดึงดูดยอดวิว โดยไม่สนใจเลยว่าจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและจิตใจของน้องนักเรียนมากแค่ไหน
ความเห็นส่วนตัวคือรู้สึกเห็นใจน้องนักเรียนเป็นอย่างมาก น้องทุ่มเทเรียนหนังสือมาตลอด ตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝัน แต่กลับต้องมาถูกสื่อเลือกนำเสนอแต่ประเด็นที่ผิดเพี้ยน และโดนสังคมออนไลน์รุมประณามอย่างไม่เป็นธรรมหลังเกิดเหตุไม่กี่วัน ทั้ง ๆ ที่ปัญหาที่แท้จริงในวันสอบคือเรื่องติดเครื่องตรวจจับโลหะต่างหาก การถูกตัดสินจากการแต่งกายและรูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้จึงนับเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าสื่อมวลชนควรตระหนักถึงพลังและความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะผู้กำหนดวาระข่าวสาร การเลือกประเด็นที่ผิดจุด มุ่งเน้นแต่เรื่องกระโปรงสั้นและขาสวย ๆ ของน้องนักเรียนในเหตุการณ์ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าจะยิ่งซ้ำเติมความเสียหาย ถือเป็นความไม่รับผิดชอบต่อจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างร้ายแรง และยังขาดการคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ที่ตกเป็นข่าวอีกด้วย
อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือปฏิกิริยาของชาวโซเชียลมีเดียในกรณีนี้ การรีบด่วนสรุปตัดสินจากข้อมูลไม่ครบถ้วนเพียงไม่กี่วันหลังเกิดเหตุ แล้วพากันโจมตีวิจารณ์อย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย มันไม่เพียงสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับผู้ที่ถูกกระทำ แต่ยังบ่อนทำลายบรรยากาศของสังคมโดยรวมอีกด้วย
สุดท้ายนี้ เรื่องราวของน้องนักเรียนที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่แค่ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เฉพาะประเทศจีนเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สังคมไทยเราก็ต้องตระหนักและเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เพราะในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิต การรู้เท่าทันสื่อและใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลจึงเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่ง เราต้องไม่ลืมว่าเบื้องหลังแต่ละข่าวหรือโพสต์ที่แชร์กันอย่างสนุกปาก มักมีคนจริง ๆ ที่เดือดร้อน
การด่วนสรุปตัดสินหรือส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือนโดยขาดการไตร่ตรอง สุดท้ายอาจสร้างผลร้ายต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้ หรือกระทั่งตัวเราเองในอนาคต เหตุการณ์เช่นนี้จึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนให้เราเห็นถึงความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมออนไลน์ที่ดีงาม ทั้งในแง่ของสื่อที่ต้องยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
และในฐานะผู้รับสารที่ต้องมีวิจารณญาณ ไม่หลงเชื่อทุกอย่างที่อ่านเจอ พร้อมทั้งเรียนรู้ที่จะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สังคมออนไลน์ที่น่าอยู่ได้นั้นเกิดจากเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ดังนั้นเราจึงต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน โดยการชั่งใจก่อนแชร์ คิดถึงใจเขาใจเรา และมีเมตตาต่อกันและกัน แม้จะเป็นแค่คนแปลกหน้าในโลกออนไลน์ก็ตาม